มะเร็งปอดอาการเริ่มแรกมีอะไรบ้าง ? รู้ไว้เพื่อสังเกตตัวเอง
มะเร็งปอด (Lung Cancer) ถือเป็นหนึ่งใน ‘ภัยเงียบ’ ที่น่ากลัวที่สุดในวงการแพทย์ เพราะในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมาก กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อโรคได้ลุกลามไปมากแล้ว การเข้าใจและหมั่นสังเกต ‘สัญญาณเตือน’ ที่ร่างกายพยายามส่งออกมา จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราสามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงอาการของมะเร็งปอดในทุกมิติ ตั้งแต่อาการมะเร็งปอดระยะแรกที่หลายคนอาจมองข้าม ไปจนถึงอาการในระยะลุกลาม เพื่อให้คุณสามารถเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างทันท่วงที
ทำไมมะเร็งปอดระยะแรกจึงตรวจจับได้ยาก ?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้มะเร็งปอดในระยะแรกไม่แสดงอาการ เป็นเพราะเนื้อปอดของเรามีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด (Pain Receptors) น้อยมาก เมื่อเซลล์มะเร็งเริ่มแบ่งตัวและก่อตัวขึ้นเป็นก้อนขนาดเล็ก จึงไม่กระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดหรือความผิดปกติที่ร่างกายจะสังเกตได้ง่าย
นอกจากนี้ มะเร็งปอดอาการเริ่มแรกยังมักคล้ายคลึงกับโรคทางเดินหายใจทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น หวัด, หลอดลมอักเสบ, หรือภูมิแพ้ ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความชะล่าใจและคิดว่าเป็นเพียงอาการป่วยธรรมดาที่สามารถหายได้เอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากพลาด "นาทีทอง" ในการตรวจวินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
สัญญาณเตือนในระยะเริ่มต้นที่ต้องสังเกต
แม้จะตรวจจับได้ยาก แต่ร่างกายมักจะส่งสัญญาณเตือนบางอย่างออกมาเสมอ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
1. ไอเรื้อรัง (Persistent Cough)
อาการไอ เป็นกลไกป้องกันของร่างกายเพื่อขับสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ แต่หากคุณมีอาการไอต่อเนื่องนานกว่า 3-4 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะ และอาการไม่ดีขึ้นแม้จะกินยาแก้ไอแล้วก็ตาม นี่อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งปอดอาการเริ่มต้นที่ควรเข้าไปรับการตรวจกับแพทย์ โดยสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ หากลักษณะการไอเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ไอบ่อยขึ้น หรือไอเสียงดังขึ้น ก็ควรต้องระวังเช่นกัน
2. ไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
นี่คือสัญญาณเตือนอาการมะเร็งปอดระยะแรกที่น่ากังวลและไม่ควรเพิกเฉยอย่างยิ่ง การมีเลือดปนออกมากับเสมหะ แม้จะมีปริมาณเล็กน้อย ก็เพียงพอเป็นข้อบ่งชี้ให้ควรเข้าพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากก้อนมะเร็งที่ขยายตัวจนไปรบกวนเส้นเลือดฝอยในหลอดลมหรือเนื้อปอด
3. เจ็บหน้าอก (Chest Pain)
อาการเจ็บหน้าอกที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปอด มักมีลักษณะปวดตื้อ ๆ ลึก ๆ หรือปวดแปลบ โดยความเจ็บปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อหายใจเข้าลึก ๆ ไอ หรือหัวเราะ อาการนี้มักเกิดขึ้นเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นและเริ่มลุกลามไปยังเยื่อหุ้มปอดหรือผนังทรวงอก ซึ่งมีเส้นประสาทรับความรู้สึกอยู่
4. เสียงแหบ (Hoarseness)
สำหรับใครที่มีอาการเสียงแหบที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เช่น ไม่ได้เป็นหวัดหรือใช้เสียงมากเกินไป และอาการเป็นต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปอดอาการเริ่มต้นที่เกิดจากก้อนมะเร็งในปอดได้เติบโตและไปกดทับเส้นประสาทที่ควบคุมกล่องเสียง (Recurrent Laryngeal Nerve) ทำให้การทำงานของเส้นเสียงผิดปกติไป
5. หายใจถี่ หายใจลำบาก หรือหายใจมีเสียงหวีด (Shortness of Breath / Wheezing)
เมื่อก้อนมะเร็งขยายขนาดจนไปอุดกั้นหลอดลม จะทำให้ลมหายใจเข้าออกได้ไม่สะดวก ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจถี่ หรือหายใจลำบากแม้จะทำกิจกรรมเบา ๆ ก็ตาม ในบางกรณีอาจได้ยินเสียงหวีด ขณะหายใจ ซึ่งเกิดจากทางเดินหายใจที่ตีบแคบลง
6. การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจซ้ำ ๆ (Recurrent Infections)
การเป็นโรคปอดบวม (Pneumonia) หรือหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ซ้ำ ๆ ในบริเวณปอดข้างเดิม อาจเป็นอาการมะเร็งปอดระยะแรกได้เช่นกัน โดยเป็นผลมาจากก้อนมะเร็งที่ไปขัดขวางการระบายของเสมหะ ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและเกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
7. อาการทั่วไปที่ไม่จำเพาะเจาะจง
ร่างกายที่ต้องต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจะใช้พลังงานอย่างมหาศาล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงอื่น ๆ เช่น
- อ่อนเพลียอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เบื่ออาหาร
อาการเมื่อมะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่น (Metastasis)
หากโรคมะเร็งปอดไม่ถูกตรวจพบตั้งแต่อาการเริ่มต้น เซลล์มะเร็งอาจแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลืองไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย และทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่โรคแพร่กระจายไปถึง เช่น
- แพร่กระจายไปยังกระดูก : จะมีอาการปวดกระดูกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่กระดูกสันหลัง ซี่โครง หรือสะโพก และมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะกระดูกหักได้ง่ายแม้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
- แพร่กระจายไปยังสมอง : อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ชัก หรือมีอาการอ่อนแรงของแขนขาซีกใดซีกหนึ่ง มีปัญหาด้านการพูด การทรงตัว หรือการมองเห็น
- แพร่กระจายไปยังตับ : ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือท้องบวมจากการมีน้ำในช่องท้อง
- แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง : จะพบก้อนบวมโตบริเวณลำคอ เหนือกระดูกไหปลาร้า หรือรักแร้ ซึ่งมักจะไม่มีอาการเจ็บปวดเมื่อคลำ
เมื่อไรที่ควรพบแพทย์ ?
คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ "อย่ารอ" โดยหากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่คล้ายกับอาการมะเร็งปอดระยะแรกดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการเหล่านั้นเป็นแบบเรื้อรังและไม่หายไปเองภายใน 2-3 สัปดาห์ ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น สูบบุหรี่หรือเคยสูบอย่างหนัก มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องสัมผัสสารก่อมะเร็ง (เช่น แร่ใยหิน ควันธูป หรือฝุ่น PM2.5) ก็ยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจและควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยทันที
การตระหนักถึงอาการมะเร็งปอดระยะแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การลงมือปฏิบัติเพื่อ ‘ป้องกัน’ และ ‘ตรวจคัดกรอง’ คือสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างได้อย่างแท้จริง ในยุคที่ความเสี่ยงอยู่รอบตัวเรา ไม่เว้นแม้แต่อากาศที่เราหายใจอย่างฝุ่น PM2.5 การรอให้เกิดอาการอาจสายเกินไป
ที่ ADDLIFE เราจึงออกแบบ ‘โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งปอด’ ที่ครอบคลุมและแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอดปริมาณรังสีต่ำ (Low-Dose CT Scan) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการค้นหามะเร็งระยะแรก ควบคู่ไปกับการตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Marker) อย่าง CYFRA21-1 และ CEA เพื่อให้สามารถตรวจมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นได้อย่างแม่นยำ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่รอบด้านยิ่งขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่เบอร์ 02-677-7077 หรือ LINE Official: @addlife
ข้อมูลอ้างอิง:
- Signs and Symptoms of Lung Cancer. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 จาก https://www.cancer.org/cancer/types/lung-cancer/detection-diagnosis-staging/signs-symptoms.html
- Symptoms-Lung cancer. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 จาก https://www.nhs.uk/conditions/lung-cancer/symptoms/
(FAQ) คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมะเร็งปอดและการตรวจวินิจฉัย
Q: ถ้าไม่เคยสูบบุหรี่เลย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดไหม ?
A: มีโอกาสเป็นได้ แม้ว่าการสูบบุหรี่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่ง แต่ประมาณ 15-20% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ (Never Smokers) สาเหตุในกลุ่มนี้อาจมาจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การได้รับควันบุหรี่มือสอง (Secondhand Smoke), มลภาวะทางอากาศ, และพันธุกรรม
Q: มะเร็งปอดมีกี่ชนิด และแตกต่างกันอย่างไร?
A: ทางการแพทย์จะแบ่งมะเร็งปอดออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งมีชีววิทยาของเซลล์และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer - NSCLC) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 85% ของผู้ป่วยทั้งหมด กับมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer - SCLC) พบได้ประมาณ 15% มีความเชื่อมโยงกับการสูบบุหรี่อย่างหนักเป็นอย่างมาก มะเร็งชนิดนี้มีลักษณะการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เร็วกว่าชนิดเซลล์ไม่เล็ก
Q: มะเร็งปอดในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
A: สามารถรักษาให้หายขาดได้ นี่คือหัวใจสำคัญที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการตรวจคัดกรองและสังเกตอาการ เพราะหากตรวจพบมะเร็งปอดในระยะที่ 1 (Stage I) ซึ่งเป็นระยะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี (5-year survival rate) จะสูงถึง 70-90%
Q: ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Scan (Low-Dose CT) ?
A: แม้ว่าการตรวจจะเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเชิงลึก แต่กลุ่มบุคคลที่ควรพิจารณาเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Scan เป็นพิเศษ (โดยใช้รังสีปริมาณต่ำ) ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีประวัติสูบบุหรี่จัด, ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรง (พ่อ แม่ พี่ น้อง) ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด, ผู้ที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องสัมผัสสารก่อมะเร็งเป็นเวลานาน เช่น ควันบุหรี่มือสอง แร่ใยหิน หรือมลภาวะทางอากาศสูง, และผู้ที่มีอาการทางเดินหายใจเรื้อรังคล้ายกับมะเร็งปอดอาการเริ่มแรกตามที่กล่าวไว้ในบทความ
Q: ทำไมเครื่อง CT 128-Slice ที่ ADDLIFE จึงเป็นตัวเลือกที่ดี ?
A: ที่ ADDLIFE เราเลือกใช้เครื่อง CT 128-Slice ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง มีข้อดีที่เหนือกว่าเครื่องรุ่นเก่าอย่างชัดเจนคือ
- ความเร็วสูง : สามารถสร้างภาพได้ถึง 128 ภาพ ในการหมุนเพียง 1 รอบ (0.4 วินาที) ทำให้ใช้เวลาตรวจสั้นลงมาก
- รังสีต่ำ : ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ทำให้ร่างกายผู้ป่วยได้รับรังสีในปริมาณที่น้อยลง เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
- ภาพคมชัดสูง : ให้ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง ลดโอกาสที่จะต้องกลับมาสแกนซ้ำเพราะภาพไม่ชัดเจน ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างตรงจุดตั้งแต่ครั้งแรก