อาการปวดเบ้าตา ปวดขมับ สัญญาณร่างกายที่บอกถึงปัญหาสุขภาพ

เคยหรือไม่ที่จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัว ปวดเบ้าตา และลุกลามไปปวดขมับ จนเกิดความหนักอึ้งบริเวณกระบอกตา บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือรู้สึกร้อนในร่วมด้วยโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเมื่อยล้าธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

อาการปวดหัว ปวดเบ้าตา ปวดขมับ

อาการปวดเบ้าตาคืออะไร ?

อาการปวดเบ้าตาและปวดหัว ล้วนเป็นอาการเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะอาการป่วยบางอย่างของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 4 โรคอันตรายที่ส่งผลต่อดวงตาและสมอง ดังนี้

ปวดเบ้าตาเกิดจากสาเหตุอะไร ?

อาการปวดเบ้าตาและปวดหัวอาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือดวงตาโดยตรง โดยเฉพาะ 4 ภาวะอันตรายที่ส่งผลต่อดวงตาและสมอง ดังนี้

1. ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

ไซนัสอักเสบ เกิดจากการอักเสบหรือติดเชื้อที่เยื่อบุจมูกและไซนัส ซึ่งอยู่บริเวณรอบดวงตาและจมูก ส่งผลให้มีอาการปวดโหนกแก้ม รอบดวงตา หรือกระบอกตา ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ หรือไอ หากมีอาการปวดเบ้าตาและมีอาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย มีโอกาสสูงว่าอาจเกิดจากไซนัสอักเสบ

2. เนื้อเยื่อเบ้าตาอักเสบ (Orbital Cellulitis)

เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อรอบดวงตา โดยมักพบร่วมกับอาการตาแดง เคืองตา บวม หรือมีรอยแดงรอบดวงตา ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดเบ้าตาเล็กน้อยขณะเคลื่อนไหวตา หรือเมื่อสัมผัสรอบดวงตา แม้จะไม่ได้ลุกลามเข้าไปถึงลูกตา แต่ก็ควรพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

3. ต้อหินมุมปิดฉับพลัน (Acute Angle-Closure Glaucoma)

ภาวะนี้เกิดจากความดันลูกตาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากของเหลวในตาไม่สามารถระบายออกได้ ทำให้เกิดอาการปวดเบ้าตาเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ตามัว เห็นแสงเป็นวงรอบดวงไฟ แพ้แสง หรือคลื่นไส้ อาเจียน หากมีอาการเหล่านี้ควรเข้ารับการรักษาโดยด่วน เพราะต้อหินมุมปิดอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ถ้าไม่รีบรักษา

4. ปวดหัวคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรง มักปวดศีรษะข้างเดียว โดยเฉพาะบริเวณรอบเบ้าตาหรือขมับ อาการมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิมของวันหรือเป็นรอบ ๆ โดยอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันหรือหลายสัปดาห์ อาการร่วมที่พบได้บ่อยคือ ตาแดง น้ำมูกไหล หนังตาตก และปวดเบ้าตาอย่างรุนแรงในช่วงที่อาการกำเริบ
 

“ภาวะเครียด” อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ปวดเบ้าตาและปวดหัว

อาการปวดหัวเรื้อรังและปวดเบ้าตาในหลายกรณี อาจเกิดจากภาวะเครียดสะสม หรือทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งก้มหน้า ก้มคอ นั่งหลังค่อม นั่งทำงานท่าเดิมนาน ๆ โดยไม่ลุกเปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดขมับ และร้าวถึงเบ้าตา

การวินิจฉัยอาการปวดเบ้าตา

เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดเบ้าตาอย่างแม่นยำ แพทย์จะวินิจฉัยโดยพิจารณาประวัติสุขภาพ อาการ และตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • วัดความดันลูกตา
  • ตรวจสภาพตาด้วยกล้องจุลทรรศน์
  • สแกน CT หรือ MRI หากสงสัยว่ามีก้อนเนื้อ การติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อน

ทั้งนี้ ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรง หรือปวดตาต่อเนื่องมากกว่า 2-3 วัน หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น ตาแดง ตามัว คลื่นไส้ หรือมีไข้
 

6 ท่ากายบริหาร วิธีแก้อาการปวดหัว ปวดเบ้าตาได้ด้วยตัวเอง

ท่าบริหารบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเบ้าตา

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเบ้าตา ปวดหัว หรือปวดขมับ จากความเครียดหรือกล้ามเนื้อตึงเรื้อรัง การทำกายภาพบำบัดด้วยท่าบริหารง่าย ๆ เหล่านี้ สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างปลอดภัย โดยเน้นยืดคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และท้ายทอย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อหลักที่มักทำให้ปวดร้าวไปยังเบ้าตา

  • ท่ายืดกล้ามเนื้อคอและบ่าข้าง : ใช้มือจับศีรษะด้านข้าง แล้วค่อย ๆ ดึงไปฝั่งตรงข้ามจนรู้สึกตึงบริเวณคอข้างที่ยืด ทำค้างไว้ 10-15 วินาที แล้วสลับข้าง
  • ท่ายืดกล้ามเนื้อที่ใช้ยกสะบัก : ให้ก้มคอลงประมาณ 45 องศา ใช้มือกดต้นคอเบา ๆ เอาไว้จนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อคอด้านหลังและช่วงสะบัก ทำค้างไว้ 10-15 วินาที 
  • ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า : วางมือซ้ายไขว้ไปบริเวณสะบักฝั่งขวา ใช้มือขวาจับศรีษะเบา ๆ ให้หันหน้าไปทางด้านซ้าย และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทำค้างไว้ 10-15 วินาที แล้วสลับข้าง
  • ท่าเก็บคาง : ยืนหันหลังชิดผนังให้ศีรษะติดผนังแบบแนบสนิท จากนั้นใช้มือค่อย ๆ ดันคางเล็กน้อยโดยที่ไม่ก้มคอ ไม่เกร็งบ่า มองตรง ทำค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
  • ท่านวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ ท้ายทอย ขมับ : ประสานนิ้วมือวางไว้บริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วโป้งกดคลึงช้า ๆ ตั้งแต่ต้นคอ ไล่ไปจนถึงฐานกะโหลก ใช้แรงเบา ๆ นวดให้สบาย ลากขึ้นไปถึงกกหูและบริเวณขมับ
  • ท่านวดกล้ามเนื้อบริเวณบ่า : ใช้มือซ้าย ยกไขว้วางไว้บนบ่าขวา ออกแรงนวดช้า ๆ จากขอบบ่าถึงต้นคอ ให้ทำการนวดวนจนรู้สึกสบายขึ้น แล้วสลับข้าง

เมื่อไรควรไปพบแพทย์ ?

ควรรีบพบแพทย์หากคุณมีอาการดังนี้

  • ปวดเบ้าตารุนแรงเฉียบพลัน
  • ตามัวหรือมองเห็นแสงจ้า
  • คลื่นไส้ อาเจียนร่วมกับปวดศีรษะ
  • ปวดร่วมกับไข้หรืออาการอักเสบรอบดวงตา

ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง ตั้งแต่วันนี้ที่ ADDLIFE

แม้อาการปวดเบ้าตาอาจดูไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากเกิดซ้ำบ่อย หรือเริ่มลุกลามจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นภาวะเครียดเรื้อรัง โรคเกี่ยวกับดวงตา หรือระบบประสาท

เพื่อความมั่นใจ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยแพทย์ ที่ ADDLIFE ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร พร้อมให้บริการด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากล และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยค้นหาสาเหตุของอาการปวดเบ้าตาและปวดหัวบ่อย ๆ ได้อย่างตรงจุด เพื่อให้คุณได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

บริษัท แอดไลฟ์ จำกัด Life Center อาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ชั้น 2 ห้อง 201
เดินทางสะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลุมพินี ทางออก 2
เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.00-18.00 น.
ติดต่อเราเพื่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE @addlife โทร 02 677 7077

 

Q&A : อาการปวดเบ้าตา

Q : ปวดเบ้าตาเกิดจากอะไรได้บ้าง ?

A : สาเหตุของอาการปวดเบ้าตามีหลายอย่าง เช่น ไซนัสอักเสบ เนื้อเยื่อเบ้าตาอักเสบ ต้อหินมุมปิดฉับพลัน หรือปวดหัวคลัสเตอร์ รวมถึงอาจเกิดจากกล้ามเนื้อตึงเครียดสะสมจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน

Q : ปวดเบ้าตาอันตรายหรือไม่ ?

A : หากเกิดบ่อย หรือมีอาการร่วม เช่น ตาแดง ตามัว คลื่นไส้ หรือปวดศีรษะรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ต้องได้รับการรักษา เช่น ต้อหินหรือการติดเชื้อรอบดวงตา

Q : ปวดเบ้าตาแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์ทันที ?

A : หากมีอาการปวดเบ้าตาเฉียบพลันรุนแรง มองเห็นไม่ชัด แพ้แสง คลื่นไส้ หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้อง

Q : อาการปวดเบ้าตาเกี่ยวกับความเครียดได้หรือไม่ ?

A : ได้ ความเครียดสามารถทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ เกร็งตัว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดร้าวขึ้นไปถึงศีรษะและเบ้าตา โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานนานหรือใช้สายตาหนัก

Q : วิธีแก้อาการปวดเบ้าตาด้วยตัวเองมีอะไรบ้าง ?

A : สามารถทำได้ด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ หรือท่านวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยและขมับ รวมถึงการพักสายตาอย่างสม่ำเสมอระหว่างทำงาน และจัดท่าทางให้ถูกต้อง