อาการไมเกรน ความปวดที่อาจเป็นสัญญาณเตือนจากความเครียดสะสม

ผู้หญิงกำลังมีอาการปวดหัวไมเกรน เกิดจากภาวะเครียดสะสม

ประสบปัญหาปวดไมเกรนซ้ำ ๆ แม้พักผ่อนก็ยังไม่ดีขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าอาการไมเกรนดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากปัจจัยทางร่างกายเท่านั้น แต่อาจมีที่มาจากจิตใจที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งสามารถเกิดได้จากการมีภาวะเครียดสะสม ความกดดัน และพฤติกรรมบางอย่าง ที่ไปกระตุ้นให้อาการปวดหัวไมเกรนแย่ลงโดยไม่รู้ตัว 
 

เมื่อจิตใจส่งสัญญาณผ่านร่างกาย ชวนรู้จักความสัมพันธ์ของ "อาการปวดหัวไมเกรนกับอารมณ์"

การส่งสัญญาณของจิตใจผ่านร่างกายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งไม่ใช่แค่การปวดศีรษะธรรมดา แต่เป็นโรคทางระบบประสาทที่มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสภาวะทางอารมณ์และความเครียด

ความสัมพันธ์ระหว่างไมเกรนกับอารมณ์และสุขภาพจิต

มีการค้นพบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างไมเกรนกับปัญหาสุขภาพจิตและอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบและกระตุ้นซึ่งกันและกันได้ (Bidirectional Relationship) กล่าวคือ ไมเกรนอาจทำให้อารมณ์เชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าแย่ลง ในขณะเดียวกันอารมณ์เหล่านี้ก็สามารถกระตุ้นให้อาการไมเกรนเกิดบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้นได้

เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอาการไมเกรนและภาวะซึมเศร้ามักเกิดร่วมกัน (Comorbidity) มีปัจจัยร่วมหลายด้าน ทั้งพันธุกรรม ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง และกลไกการตอบสนองต่อความเครียด ทั้งหมดนี้ เป็นผลทำให้เกิดวงจรซ้ำ (Vicious Cycle) โดยผู้มีอาการไมเกรนเกิดจากความเครียด จะส่งผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิต จากนั้นภาวะที่ย่ำแย่ทางจิตใจ ก็จะกลับมากระตุ้นให้อาการไมเกรนรุนแรงขึ้นนั่นเอง

สมองกับระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ที่เปลี่ยนแปลงจากความเครียด

เมื่อมีภาวะเครียดสะสม ร่างกายจะตอบสนองผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานพื้นฐาน เช่น การเต้นของหัวใจและการไหลเวียนเลือด ความเครียดที่กดทับอยู่นานสามารถทำให้ระบบนี้เสียสมดุล หลอดเลือดในสมองจึงเกิดการบีบและขยายตัวผิดปกติ จนนำไปสู่อาการปวดไมเกรน

ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวด แต่ยังรวมถึงความไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว เช่น แสง เสียง หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งล้วนทำให้ไมเกรนรุนแรงและยากต่อการควบคุม หากไม่ได้ดูแลจัดการความเครียดตั้งแต่เนิ่น ๆ

อาการไมเกรนกับภาวะหมดไฟ (Burnout)

ภาวะหมดไฟ (Burnout) คือ ภาวะความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดจากความเครียดสะสม โดยเฉพาะในที่ทำงาน เมื่อความเครียดไม่ได้รับการจัดการ ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะหมดแรงและสูญเสียสมดุลทางอารมณ์ ความเชื่อมโยงนี้ทำให้ภาวะหมดไฟกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นไมเกรนได้บ่อยครั้ง

สัญญาณสำคัญของภาวะ Burnout ที่สัมพันธ์กับไมเกรน 

  • ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจ
  • ทัศนคติเชิงลบต่อสิ่งรอบตัว
  • ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
  • อาการทางกาย เช่น ปวดหัวเรื้อรัง (รวมถึงไมเกรน), นอนไม่หลับ, ร่างกายอ่อนเพลีย, ปวดกล้ามเนื้อ

การที่ภาวะ Burnout ส่งผลทั้งด้านอารมณ์และร่างกาย แสดงให้เห็นว่าภาวะเครียดสะสมไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังพยายามสื่อสารผ่านอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างสุขภาพจิตและสุขภาพกายโดยตรง

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้ไมเกรนเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว

การปวดหัวไมเกรนไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ยังถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เรามักไม่ทันได้สังเกต เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้เกิดซ้ำ ๆ จะสะสมจนกลายเป็นตัวเร่งให้อาการปวดหัวไมเกรนทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นถี่กว่าเดิม

ละเลยการพักผ่อน แม้จะนอนก็ไม่มีคุณภาพ

การนอนหลับที่ไม่เพียงพอหรือไม่ต่อเนื่อง ทำให้สมองไม่ได้ฟื้นฟูเต็มที่ ระบบประสาทจึงอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น การพักผ่อนที่ไม่ดีจึงกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนกำเริบเรื้อรัง

คิดมาก ควบคุมทุกอย่างตลอดเวลา กลายเป็นความเครียดสะสม

เมื่อสมองอยู่ในโหมด “ทำงานไม่หยุด” ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างต่อเนื่อง ระดับความตึงเครียดที่สะสมนี้ส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือดสมองและระบบประสาท ทำให้ไมเกรนเกิดง่ายขึ้นและบ่อยครั้งกว่าเดิม

ไม่แสดงความรู้สึก กลั้นอารมณ์ โกรธแต่ไม่แสดงออก

การกดทับอารมณ์ไว้ภายใน ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้ออาจหดเกร็ง ความดันในร่างกายสูงขึ้น และทั้งหมดนี้สามารถกระตุ้นไมเกรนได้ การไม่ปลดปล่อยอารมณ์จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

ใช้คาเฟอีนหรือของหวานเป็นกลไก “เยียวยาเร็ว”

หลายคนใช้กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือของหวาน เป็นทางลัดเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อพึ่งพาบ่อย ๆ จะเกิดภาวะเสพติดทั้งต่อคาเฟอีนและน้ำตาล ความผันผวนของพลังงานและสารสื่อประสาทในสมองยิ่งทำให้อาการไมเกรนเกิดได้ง่ายและรุนแรงกว่าเดิม

แนวทางดูแลไมเกรนจากภายใน ด้วยการเยียวยาจิตใจ

การจัดการไมเกรนไม่ใช่แค่การกินยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ยังสามารถเริ่มต้นจากการดูแลภายใน โดยเฉพาะการเยียวยาจิตใจให้กลับสู่สมดุล วิธีเหล่านี้ช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจทำงานสอดคล้องกัน ลดความรุนแรงและความถี่ของอาการไมเกรนได้

ผู้หญิงกำลังนอนพักสายตาหลังจากมีอาการไมเกรนกำเริบ.jpg
 

เทคนิคการเชื่อมโยงร่างกาย-จิตใจ

วิธีอย่าง Body Scan, Mindfulness และการฝึกหายใจ (Breathing Practice) ช่วยให้เรารับรู้สภาวะของร่างกายและอารมณ์อย่างละเอียด การฝึกเป็นประจำจะช่วยลดความเครียดสะสม และทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นได้สมดุลมากขึ้น

เขียนไดอารี่ไมเกรนควบคู่กับอารมณ์

การจดบันทึกทั้งอาการไมเกรนและสภาวะทางอารมณ์แต่ละวัน จะช่วยให้เห็น “รูปแบบ” ที่ซ่อนอยู่ เช่น ไมเกรนเกิดขึ้นเมื่อเครียดจากงาน หรือหลังการนอนหลับไม่เพียงพอ การสังเกตเหล่านี้ทำให้เรารู้ทันสัญญาณร่างกายและปรับพฤติกรรมได้ตรงจุด

การปรึกษานักจิตวิทยาร่วมกับการดูแลสุขภาพองค์รวม

บางครั้งการจัดการไมเกรนด้วยตัวเองอาจไม่เพียงพอ การขอคำแนะนำจากนักจิตวิทยาหรือแพทย์ที่มีประสบการณดูแลรักษาด้านสุขภาพองค์รวม จะช่วยให้เข้าใจต้นตอที่แท้จริง และได้รับการดูแลที่ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

เคล็ดลับการ “ฟังเสียงร่างกาย” ก่อนที่ไมเกรนจะมาเตือนอีกครั้ง

ร่างกายมักส่งสัญญาณเล็ก ๆ ก่อนเกิดไมเกรน เช่น อ่อนเพลีย ตึงคอ หรือสายตาพร่ามัว หากเราฝึกสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดโอกาสที่ไมเกรนจะกำเริบรุนแรง และทำให้เราควบคุมอาการได้ดีขึ้น

วิธีสังเกตร่างกายที่แสดงถึงอาการไมเกรน

  • สังเกตความรู้สึกของกล้ามเนื้อและคอ หากเริ่มตึงหรือเกร็ง แสดงว่าร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียด
  • ตรวจสอบระดับพลังงานและความเหนื่อยล้า หากรู้สึกอ่อนแรงผิดปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนไมเกรน
  • ใส่ใจต่อสายตาและอาการวิงเวียน สัญญาณเหล่านี้มักปรากฏก่อนไมเกรนกำเริบ

ขั้นตอนการตอบสนองต่อสัญญาณปวดไมเกรน

  • หยุดพักและคลายความตึงเครียดทันที เช่น การยืดกล้ามเนื้อ ทำสมาธิ หรือฝึกหายใจลึก
  • ลดสิ่งกระตุ้นรอบตัว เช่น แสงจ้า เสียงดัง หรือการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน
  • บันทึกสัญญาณเหล่านี้ลงในไดอารี่ เพื่อติดตามและรู้รูปแบบการเกิดไมเกรน

การฟังเสียงร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณรับมือกับไมเกรนได้ตั้งแต่สัญญาณแรก ลดความรุนแรงและความถี่ของอาการ และสร้างความเข้าใจในร่างกายของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

หากคุณมีอาการไมเกรนบ่อยครั้ง จนรู้สึกมีภาวะเครียดสะสม นอนไม่หลับ หรือมีภาวะอารมณ์แปรปรวนโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นอาจไม่ใช่แค่อาการทางกาย แต่เป็นสัญญาณจากภาวะสมดุลภายในที่เริ่มเปลี่ยนแปลง 

ที่ ADDLIFE เราพร้อมดูแลอาการไมเกรนแบบองค์รวม แก้ไขตั้งแต่ปัจจัยทางร่างกาย อารมณ์ และฮอร์โมน ด้วยแนวทางการฟื้นฟูเฉพาะบุคคล พร้อมดูแลโดยทีมแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ร่วมวิเคราะห์อาการก่อนนำไปวางแผนโปรแกรมการรักษาที่ตรงจุดและปลอดภัยในระยะยาว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์เพื่อเข้ารับคำปรึกษาได้ที่เบอร์ 02-677-7077 หรือ LINE Official: @addlife 

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. The Relationship Between Migraine and Mental Health. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 จาก https://americanmigrainefoundation.org/resource-library/the-relationship-between-migraine-and-mental-health/ 
  2. The Relationship Between Depression and Migraine. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 จาก https://www.migrainedisorders.org/depression-and-migraine-comorbidity/ 

(FAQ) คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดหัวไมเกรน

Q: อาการไมเกรนเกิดจากอะไร ?

A: ไมเกรนเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาหารบางชนิด และปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ระบบประสาทและหลอดเลือดในสมองตอบสนองผิดปกติ จนเกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้

Q: อาการไมเกรนแตกต่างจากปวดหัวธรรมดาอย่างไร ?

A: อาการไมเกรนมักมีลักษณะปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่งอย่างรุนแรง ปวดตุบ ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสงหรือเสียง และอาการเหล่านี้อาจกินเวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน แตกต่างจากปวดหัวธรรมดาที่มักปวดทั่วศีรษะและหายได้เร็ว

Q: พฤติกรรมใดบ้างที่อาจทำให้ไมเกรนเรื้อรัง ?

A: พฤติกรรมที่ทำให้เกิดอาการไมเกรนเรื้อรัง ได้แก่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือคุณภาพการนอนไม่ดี การคิดมาก ควบคุมทุกอย่างจนเครียดสะสม การเก็บกดอารมณ์หรือโกรธโดยไม่แสดงออก และการพึ่งพาคาเฟอีนหรือของหวานเพื่อเป็นกลไกเยียวยาทางลัด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซ้ำบ่อย

Q: จะป้องกันไมเกรนหรือรับมือเมื่อเริ่มมีอาการได้อย่างไร ?

A: การหมั่นสังเกตร่างกาย เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันไมเกรนได้ เช่น สังเกตความอ่อนเพลีย ความตึงคอ หรือสายตาพร่ามัวเมื่อมีสัญญาณเตือน นอกจากนี้ การพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เขียนบันทึกอาการไมเกรนร่วมกับอารมณ์ และปรึกษานักจิตวิทยาหรือแพทย์จะช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการได้

Q: ADDLIFE มีวิธีการดูแลไมเกรนอย่างไร ?

A: ที่ ADDLIFE เราใช้แนวทางการดูแลแบบองค์รวม โดยเน้นการวิเคราะห์และรักษาไมเกรนจากหลายมิติ เช่น การประเมินสุขภาพจิต การตรวจฮอร์โมน การปรับพฤติกรรม และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการวินิจฉัยและรักษา เพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล