กรทฮอร์โมนหลั่งตอนไหน เกี่ยวข้องกับคุณภาพการนอนอย่างไร ?

การนอนหลับ ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อน แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง หนึ่งในกระบวนการสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะหลับ คือ การหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต หรือ “โกรทฮอร์โมน” (Growth Hormone: GH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูเซลล์ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเวลาที่โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมาจะเป็นช่วงที่เราหลับสนิท ดังนั้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการนอนหลับ จึงสามารถส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของเราได้เช่นกัน

ทำความรู้จักกับโกรทฮอร์โมน

โกรทฮอร์โมน เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองในช่วงที่ร่างกายพักผ่อนสนิท แต่ถ้าถามว่า คนเรานอน 6-8 ชั่วโมง แล้วโกรทฮอร์โมนหลั่งตอนไหน ? คำตอบคือเวลาที่โกรทฮอร์โมนหลั่งจะอยู่ในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกว่า Deep Sleep โดยฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การเผาผลาญพลังงาน และการฟื้นฟูร่างกาย

โกรทฮอร์โมนในเด็กและผู้ใหญ่แตกต่างกันอย่างไร ?

  • ในเด็ก : โกรทฮอร์โมนจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต พัฒนาการทางร่างกาย และความสูงอย่างต่อเนื่อง
  • ในผู้ใหญ่ : ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการคงสมดุลของมวลกล้ามเนื้อ ความหนาแน่นของกระดูก และอัตราการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งล้วนมีผลต่อรูปร่าง สุขภาพ และพลังงานในชีวิตประจำวัน

ฮอร์โมนเมลาโทนิน ตัวช่วยที่ทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งได้ดี

เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นในช่วงค่ำ ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ร่างกายเข้าสู่โหมดพักผ่อน ฮอร์โมนนี้จะหลั่งมากในช่วงที่แสงสว่างน้อย ดังนั้น การปิดไฟให้มืดสนิทขณะนอนหลับจะช่วยกระตุ้นการหลั่งเมลาโทนินได้ดี ซึ่งจะส่งผลให้โกรทฮอร์โมนสามารถหลั่งออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีที่ช่วยให้นอนหลับสนิท โกรทฮอร์โมนหลั่งได้เต็มที่

1. เข้านอนตรงเวลา 

เมื่อเรารู้แล้วว่า Growth Hormone หลั่งตอนไหน ดังนั้น ควรเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม และไม่เกิน 5 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ช่วง Deep Sleep ซึ่งเป็นเวลาที่โกรทฮอร์โมนหลั่ง

2. หลีกเลี่ยงจอมือถือและแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือหรือโทรทัศน์จะยับยั้งการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้นอนหลับไม่สนิท

3. จัดสภาพแวดล้อมในการนอน

ห้องนอนควรมืดสนิท เงียบสงบ และมีอุณหภูมิที่เย็นสบาย

4. ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม

ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากในช่วงเย็น โดยเฉพาะหลังเวลา 6 โมงเย็น เพื่อลดการลุกเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน

5. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) หรือการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา จะช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยเพิ่มความลึกของการนอนหลับ

6. การรับประทานอาหาร

การเลือกรับประทานอาหารมีผลอย่างมากต่อคุณภาพการนอนหลับ เพราะอาหารบางชนิดสามารถช่วยให้ร่างกายหลับลึกและหลับสนิท ในขณะที่อาหารบางประเภทอาจทำให้การนอนหลับถูกรบกวน 

การรับประทานอาหารแบบ Low Carbohydrate Diet หรือการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะน้ำตาลและแป้งขัดสี มีผลช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการนอนหลับ 

ในทางกลับกัน เมื่อรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ภายหลังน้ำตาลอาจตกลงต่ำเกินไป (Hypoglycemia) ทำให้ร่างกายตื่นตัวกลางดึก ส่งผลให้นอนหลับไม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ อาหารที่มีน้ำตาลสูงจะกระตุ้นการทำงานของสมองมาก โดยเฉพาะในช่วงก่อนนอน ทำให้ยากต่อการเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย

ปัจจัยที่รบกวนการหลั่งโกรทฮอร์โมน

1. ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)

ความเครียด เป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำให้ร่างกายตื่นตัวเกินไปและนอนหลับได้ยาก

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงบ่าย หรือการรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนนอน อาจทำให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท

ทางเลือกการดูแลสุขภาพด้วยแนวทางฮอร์โมนบำบัด

แม้การหลั่งโกรทฮอร์โมนตามธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถทำได้เองในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว แต่เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงวัย 30 ปีขึ้นไป การหลั่ง GH จะค่อย ๆ ลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อการเผาผลาญ มวลกล้ามเนื้อ พลังงาน และการฟื้นฟูร่างกายโดยรวม

สำหรับบางคนที่มีภาวะขาดฮอร์โมนอย่างชัดเจน หรือมีอาการที่สัมพันธ์กับภาวะฮอร์โมนต่ำ เช่น อ่อนล้าเรื้อรัง การนอนหลับผิดปกติ หรือมีไขมันสะสมมากผิดปกติ อาจพิจารณาทางเลือกในการดูแลสุขภาพด้วยแนวทางฮอร์โมนทดแทนหรือฮอร์โมนบำบัด ภายใต้การดูแลของแพทย์

การให้ฮอร์โมนทดแทนไม่เพียงใช้กับเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนเท่านั้น แต่ยังใช้ในผู้ที่มีภาวะขาด GH หรือฮอร์โมนอื่น ๆ โดยมีการประเมินอย่างรอบด้านจากทีมแพทย์ ทั้งในด้านฮอร์โมน ระบบเมตาบอลิซึม และไลฟ์สไตล์ เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง สดชื่น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

เพราะการนอนหลับที่ดีคือพื้นฐานของสุขภาพที่แข็งแรง ดังนั้นการปรับพฤติกรรมเล็กน้อย เช่น การเข้านอนตรงเวลา หลีกเลี่ยงแสงสีฟ้า หรือการออกกำลังกายแบบ HIIT จะช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนและเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ในทุกคืน 

อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังเผชิญกับอาการที่อาจบ่งบอกถึงภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ น้ำหนักเพิ่ม หรือรู้สึกเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุ การตรวจระดับฮอร์โมนคือขั้นตอนสำคัญในการค้นหาสาเหตุที่แท้จริง

ADDLIFE ให้บริการโปรแกรมตรวจความสมดุลของระดับฮอร์โมน โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อวิเคราะห์ระดับฮอร์โมนของคุณอย่างครอบคลุม พร้อมออกแบบแนวทางการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล หากตรวจพบความผิดปกติ ยังสามารถต่อยอดสู่โปรแกรมฮอร์โมนบำบัด (Hormone Replacement Therapy) ที่ช่วยฟื้นฟูสมดุลฮอร์โมนให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพิ่มคุณภาพการนอน ความสดชื่น และสมรรถภาพในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

ให้การนอนหลับของคุณไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีในระยะยาว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ได้ที่

เบอร์โทร : 0-2677-7077
เฟสบุ๊ค : ADDLIFECenter
ไลน์ : @addlife
เว็บไซต์ : www.add-life.org 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโกรทฮอร์โมน (FAQ)

Q1 : ฉีดโกรทฮอร์โมนปลอดภัยไหม ?

A : การฉีดโกรทฮอร์โมน (GH) สามารถปลอดภัยได้ หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะขาด GH ตามการวินิจฉัยทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้โดยไม่มีการประเมินจากแพทย์ เพราะอาจมีผลข้างเคียง เช่น บวมน้ำ ปวดข้อ หรือเพิ่มความเสี่ยงของโรคบางชนิดในระยะยาว

Q2 : โกรทฮอร์โมนหาซื้อได้ที่ไหน ?

A : โกรทฮอร์โมน จัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา ต้องรับบริการจากสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หากพบผลิตภัณฑ์ที่ขายทางออนไลน์หรือโฆษณาเกินจริง ควรระมัดระวัง เนื่องจากอาจเป็นผลิตภัณฑ์ปลอมซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

Q3 : อาหารเสริม GH เห็นผลจริงหรือไม่ ?

A : อาหารเสริมที่อ้างว่าช่วยกระตุ้นโกรทฮอร์โมน มักมีส่วนผสมของกรดอะมิโน เช่น L-Arginine หรือสารสกัดจากธรรมชาติบางชนิด ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนกระบวนการหลั่ง GH ได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแทนการหลั่ง GH ธรรมชาติหรือการรักษาด้วยยาได้โดยตรง และผลลัพธ์ที่ได้มักแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

Q4 : การรักษาด้วยการเสริมโกรทฮอร์โมนเหมาะกับใคร ?

A : การเสริมโกรทฮอร์โมนเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะขาด GH จริงเท่านั้น เช่น เด็กที่มีความผิดปกติในการเจริญเติบโต หรือผู้ใหญ่ที่มีอาการอ่อนแรง มวลกล้ามเนื้อลดลง หรือเผาผลาญต่ำผิดปกติ โดยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา ไม่ควรใช้ GH ในผู้ที่ต้องการชะลอวัยหรือเพิ่มสมรรถภาพโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์

Q5 : ถ้าโกรทฮอร์โมนต่ำ จะสังเกตอาการได้อย่างไร ?

A : อาการที่อาจบ่งบอกว่าร่างกายมีระดับ GH ต่ำ ได้แก่ อ่อนเพลียเรื้อรัง มวลกล้ามเนื้อลดลง ไขมันสะสมโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ และภูมิคุ้มกันลดลง หากสงสัยว่าตนเองมีภาวะนี้ ควรเข้ารับการตรวจระดับฮอร์โมนและปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม